สมุนไพรขับปัสสาวะ ป้องกันและรักษาโรคนิ่ว
|
||
1. หญ้าหนวดแมว
|
||
เป็นไม้ล้มลุกสูงได้ถึง 2 เมตร ลำต้นค่อนข้างเป็นเลี่ยมเห็นได้ชัดเจน
และมีขนเล็กน้อย ใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบตรงข้าม ก้านใบยาว และอาจยาวได้ถึง 3 ซม.
ตัวใบร่างคล้ายรูปไข่ หรือรูปไข่เรียวขอบค่อนข้างขนาน
หรือรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน ปลายใบและโคนใบแหลม ขอบใบจักตามเส้นใบมักมีขน
ตัวใบกว้าง 0.5 – 5 ซม. ยาว 1 – 10 ซม. ดอกออกเป็นช่อยาว 7 – 29 ซม.
ประกอบด้วยดอกย่อย ๆ สีขาวหรือม่วงอ่อนจำนวนมาก ดอกมีส่วนของเกสรตัวผู้เป็นเส้นยื่นยาวคล้ายหนวดของแมว
5 เส้น ยาวกว่าส่วนของกลีบดอกมาก และพบยาวมากกว่า 2 ซม. ผลค่อนข้างแข็ง
สีน้ำตาลเข้ม และมีขนาดเล็ก 1 – 2 ซม.
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ทั้งต้นหรือใบ
ใช้ได้ทั้งสดหรือแห้ง
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ขับปัสสาวะ
ใช้ต้นสด 1 กำมือ ต้มกับน้ำดื่มต่างน้ำ หรือผงแห้ง 4 กรัม ชงกับน้ำเดือด 1 ขวด
ดื่มแต่น้ำ ประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้ง 1 ถ้วยชา (75 มิลลิเมตร) เหมาะสำหรับคนไข้ที่เป็นโรคบวมน้ำ
และปัสสาวะขัด
|
2.
ป้องกันและรักษานิ่ว
ใช้ทั้งต้นสดบนดิน ถ้าแห้งใช้ 4 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ขวด แม่โขง (750
มิลลิลิตร) ให้เดือด 3 – 5 นาที ดื่มแต่น้ำทั้งวัน ใช้ติดต่อกน 1 – 2 เดือน
นิ่วที่มีขนาดตั้งแต่เม็ดเล็ก
จนถึงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวจะถูกขับออกมากับปัสสาวะ
ข้อควรระวัง คนที่รับประทานแล้วใจสั่น ให้หยุดยา
โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคหัวใจ อย่าใช้เกินขนาด
หญ้าหนวดแมว
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Orthosiphon aristatus (Bl.) Mip. อยู่ในวงศ์ Labiatae มีชื่ออื่น ๆ เช่น พยับเมฆ
(กรุงเทพฯ)
|
|
2. หญ้าไซ
|
||
เป็นพืชล้มลุกที่มักมีลำต้นเรียวยาวทอดนอน
มีข้อและปล้องชัดเจน ปล้องยาว 5 – 12 ซม. ที่ข้อมักมีขน
กาบใบโอบหุ้มปล้องยาวประมาณครึ่งปล้อง ส่วนต่อระหว่างกาบใบและตัวใบมีเยื่อบางเรียวแหลม
ยาว 2 – 5 มม. แนบติดกับลำต้น ตัวใบเรียวแหลม ขนาดกว้าง 4 – 6 มม. ยาว 15 – 30
ซม. เนื้อใบหยาบ ดอกออกเป็นช่อคล้ายรวงข้าว แต่ขนาดเล็กกว่ายาก 5 – 10 ซม.
ดอกมีลักษณะคล้ายดอกข้าวขนาดเล็ก ยาว 2 – 4 มม. ปลายดอกแหลม ผลขนาดเล็ก
ส่วนที่ใช้เป็นยา :
ทั้งต้นหรือทั้งห้า ใช้ได้ทั้งสดหรือแห้ง
|
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ใช้ขับปัสสาวะ โดยใช้วันละ 1 กำมือ หรือน้ำหนักสด 20 – 30
กรัม น้ำหนักแห้ง 5 – 10 กรัม ใส่น้ำ 9 ถ้วยชาต้มให้งวดเหลือ 3 ถ้วยชา
แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร ครั้งละ 1 ถ้วยชา
หญ้าไซ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Leersia hexandra Sw. อยู่ในวงศ์ Gramineae มีชื่ออื่น ๆ เช่น หญ้าทราย
หญ้าไทร (กรุงเทพฯ) หญ้าคมบาง (นครศรีธรรมราช)
|
|
||
3.
แห้วหมู
|
||
เป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่มีลำต้นใต้ดินเป็นหัว
และสามารถงอกไหลไปตามผิวดินได้ไกล 5 – 25 ซม. เพื่อกำเนิดเป็นหน่อใหม่ต่อไป
หัวมีรูปร่างตั้งแต่เรียวยาวจนถึงเกือบกลม มีขนาดตั้งแต่เล็กไปจนถึง 2.5 ซม.
ลำต้นที่อยู่บนดินนั้นมีขนาดสูงเพียงเล็กน้อย และมักเห็นเป็นสามเหลี่ยม
มีใบติดอยู่โดยรอบแบบสลับ รูปร่างของใบค่อนข้างเรียวแคบ ปลายใบแหลมกว้าง 2 – 6
มม. ยาว 5 – 15 ซม. ดอกออกเป็นช่ออยู่ตามปลายยอด มีก้านช่อยาว
ปลายก้านช่อมีใบประดับที่มีลักษณะ และสีคล้ายใบรองรับโคนช่อดอก 3 ใบ
ช่อดอกประกอบด้วยดอกขนาดเล็ก 10 – 40 ดอก สีน้ำตาล ผลรูปไข่ ยาวประมาณ 1.5 มม.
ส่วนที่ใช้เป็น : หัว
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ขับปัสสาวะ ใช้หัวใต้ดิน 5 – 7 หัว
บดให้ละเอียด คลุกกับน้ำผึ้งเป็นยาลูกกลอน รับประทานทั้งหมดในหนึ่งครั้ง
2. แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้หัวแห้ง 1 กำมือ (30 – 70 หัวหรือหนัก 15
กรัม) ทุบให้แตกต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้หัวสดครั้งละ 5 หัว
โขลกให้ละเอียดผสมน้ำผึ้งรับประทาน
|
3. รักษาบิด ใช้หัวแห้ง 6 – 8 หัว บดกับขิงแก่แห้ง 4 – 5
แว่น คลุกกับน้ำผึ้ง รับประทานเป็นยาลูกกลอน
4. ห้ามเลือดใส่แผลสด ใช้ต้นและใบ 5 – 10 ต้น นำมาล้างให้สะอาด
หั่นตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำปูนใส ใช้พอกแผลที่เลือดออก
5. เป็นยาอายุวัฒนะ ใช้หัวแห้วหมูผสมกับเมล็ดพริกไทย เมล็ดข่อย
เถาบอระเพ็ด เปลือกต้นทิ้งก่อน เปลือกต้นตะโกนา ใช้ผงสมุนไพรอย่างละเท่า ๆ กัน
ผสมกันโดยใช้น้ำผึ้งเดือนห้า ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา
รับประทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด ก่อนนอน
แห้วหมู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cyperus rotundus Linn. อยู่ในวงศ์ Cyperaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น หญ้าขนหมู (แม่ฮ่องสอน)
|
|
4. อ้อยแดง
|
||
เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้น 1 – 3
เมตร ลำต้นมีข้อและปล้องเห็นได้ชัดเจน
ใของลำต้นแดงคล้ำ แต่ละปล้องอาจจะยาวหรือสั้นก็ได้ ใบออกที่ข้อแบบสลับ
และร่วงง่าย จึงพบเฉพาะตามปลายยอด โดยมีกาบใบโอบหุ้มข้ออยู่
รุปใบยาวเรียวปลายแหลม ขนาดยาว 50 – 175 ซม.
กว้าง 4 – 10 ซม. ของใบจักละเอียดและคม ดอกออกเป็นช่อใหญ่อยู่ตรงปลายยอด
ขนาด 40 – 80 ซม. สีขาว ประกอบด้วยดอกย่อย มีขนาดเล็กจำนวนมาก และมีขนยาว
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ลำต้นทั้งสดหรือแห้ง
|
สรรพคุณและวิธีใช้
ขับปัสสาวะ ใช้ลำต้นวันละ 1 กำมือ (สด 70 –
90 กรัม แห้ง 30 – 40 กรัม) หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มกับน้ำรับประทาน วันละ 3 ครั้ง
ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิเมตร)
อ้อยแดง
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Saccharum sinense Roxb. อยู่ในวงศ์ Gramineae มีชื่ออื่น ๆ เช่น อ้อยดำ
อ้อยขม
|
5. หญ้าชันกาด
|
||
เป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเหล้าอยู่ใต้ดินและมีไหลเจริญเป็นต้นใหม่
ได้ลำต้นที่อยู่บนดินสูง 20 – 60 ซม. มีข้อและปล้องชัดเจน ปล้องยาว 7 – 20 ซม.
ข้อแข็ง กาบใบยาวเกือบเท่าปล้อง และหุ้มปล้อง ริมกาบส่วนที่ไกล้ตัวใบมีขน
ตัวใบเรียว กว้าง 3 – 10 มม. ยาว 5 – 20 ซม. ปลายใบแหลม ด้านบนมีขนเล็กน้อย
ระหว่างกาบใบและตัวใบมีเยื่อบางแนบลำต้นสูง 0.5 มม. ดอกออกเป็นช่อยาว 6 – 20 ซม.
ก้านแขนงช่อดอกเป็นเหลี่ยม ดอกสีขาวอมเขียวขนาด 1 – 3 มม. รูปรีปลายแหลม
ผลมีขนาดเล็กมาก
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เหง้าสดหรือแห้ง
|
สรรพคุณและวิธีใช้
ใช้ขับปัสสาวะ โดยใช้วันละ 1
กำมือ หรือเหง้าสดหนัก 60 – 40 กรัม แห้งหนัก 30 – 40 กรัม บุบพอแตกต้มกับน้ำ 9
ถ้วยชา (1 ถ้วยชามีปริมาตร 75 มิลลิลิตร) ต้มให้งวดเหลือ 3 ถ้วยชา
แบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร ครั้งละ 1 ถ้วยชา
ข้อควรระวัง : ยาจำพวกขับปัสสาวะนี้ควรใช้เมื่อมีอาการและใช้จนเห็นผลชัดเจนก็ควรหยุดใช้
ไม่ควรใช้อยู่ตลอดเวลา
หญ้าชันกาด มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Panicum repens Linn.
อยู่ในวงศ์ Graminaea มีชื่ออื่น ๆ เช่น หัวหวาย (ภาคกลาง) แขมมัน หญ้าอ้อน้อย
(เชียงใหม่) หัวหวายนา (ภาคอิสาน) หญ้าครุน หญ้าขิง (ภาคใต้)
|
|
6. หญ้าคา
|
||
เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุได้หลายปี
โดยมีเหง้าสีขาวแข็งทอดตัวอยู่ใต้ดิน และไปได้ไกล ส่วนบนดินมีลำต้นตรง สูงได้ถึง
15 – 120 ซม. มีกาบใบโอบหุ้มอยู่ กาบใบค่อนข้างเรียบและริมกาบมีขน ตัวใบเรียว
กว้าง 4 – 18 มม. ยาว 1 – 2 เมตร ส่วนกลางใบจะกว้างกว่าโคนใบและปลายใบ มีขนเป็นกระจุกอยู่ระหว่างรอยต่อของตัววใบและกาบใบ
ขนปรากฏชัดเจนมากตามข้อ ดอกออกเป็นช่อ ยาว 3 – 20 ซม. กว้าง 0.5 – 2.5 ซม.
สีขาวเป็นมัน แต่ละดอกมีขนาดเล็กและมีขนฟูสีขาวยาวได้ถึง 5 ซม. อยู่โดยรอบ
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ราก
ทั้งสดหรือแห้ง
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ขับปัสสาวะ ใช้วันละ 1 กำมือ (สดประมาณ 40 – 50 กรัม
แห้ง 10 – 15 กรัม) หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มกับน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง
ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)
|
2. รักษาโรคหืด ใช้รากสด 1 กำมือ
ผสมกับเปลือกต้นหม่อนครึ่งกำมือกับรากชะเอมจีน ยาว 4 องคุลี ใส่น้ำ 4 ถ้วยแกล้ว
ต้มให้เหลือครึ่งเดียว รับประทานครั้งละ 1 แก้ว
3. ลดอาการร้อนในกระหายน้ำ ใช้รากสด 1 กำมือ หรือ 30 – 60
กรัม ต้มกับน้ำ ดื่มแต่น้ำ เช้า – เย็น
หญ้าคา มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Imperata cylindrical (L.) Raeusch. อยู่ในวงศ์ Gramineae
|
7.
สับปะรด
|
||
เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุได้หลายปี
ส่วนของลำต้นแก่ค่อนข้างแข็ง และแตกหน่อใหม่ทางด้านข้าง ใบติดสลับโดยรอบต้น
ก้านใบกางโอบลำต้น ตัวใบเป็นแผ่นเรียวคล้ายดาบโค้ง ปลายเรียวแหลม
ริมใบมีหนามแหลมขนาดเล็ก เนื้อใบแข็ง ใบกว้าง 2 – 6 ซม. ยาว 50 – 150 ซม.
ผิวใบด้านล่างมักเห็นเป็นสีขาวนวล ดอกออกเป็นช่อ สีและขนาดแตกต่างตามพันธุ์
ช่อดอกมีก้านยาว มีใบประดับติดอยู่ทั้งส่วนบน และส่วนล่างของช่อ
เมื่อเป็นผลรูปร่างเกือบกลมหรือรูปไข่ป้อม หรือทรงกระบอก มีขนาดกว้าง 3 – 20 ซม.
ยาว 5 – 30 ซม. ไม่มีเมล็ดที่สมบูรณ์
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เหง้า
ทั้งสดหรือแห้ง
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ขับปัสสาวะ ใช้เหง้าวันละ 1 กอบมือ (สด
200 – 250 กรัม แห้ง 90 – 100 กรัม) ต้มกับน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง
ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)
|
2. ช่วยย่อย ใช้น้ำคั้น ½ - 7 ถ้วยแก้ว หรือเนื้อสับปะรดไม่จำกัด
รับประทานช่วยย่อยอาหารพวกโปรตีน
3. ป้องกันและรักษานิ่ว ใช้แกนในและจุกสับปะรดเอาแต่ส่วนที่อ่อน ๆ
จาก 1 ผล นำมาต้มกับน้ำตาลกรวด 1 ก้อน ให้ได้น้ำ 1 ถ้วยแก้ว
ดื่มให้หมดครั้งเดียว วันละ 2 เวลา หลังอาหาร
สับปะรด
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ananas comosus Merr. อยู่ในวงศ์ Bromelliaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น มะขะนัด
มะนัด (ภาคเหนือ) บ่อนัด (เชียงใหม่) ขนันทอง ย่านัด ยานัด (ภาคใต้) หมากนัด
(ภาคอีสาน)
|
|
8. มะละกอ
|
||
เป็นไม้เนื้ออ่อน
ลำต้นสูงได้ถง 5 – 6 เมตร มีใบออกเป็นกลุ่มที่ปลายยอด บางครั้งอาจพบแขนง 1 – 2
กิ่งบ้าง ทุกส่วนของพืชมียางขาว ใบรูปเกือบกลมอาจกว้างได้ถึง 75 ซม.
ริมใบหยักเว้าเข้าหาใจกลางใบ 7 – 11 หยัก แต่ละหยัก ยังเว้าตามด้านข้างอีก
ก้านใบยาว ภายในกลวง ยาวได้ถึง 1 เมตร ดอกมีทั้งดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย
และดอกสมบูรณ์เพศ ออกตามซอกโคนก้านใบทั้งชนิดดอกเดี่ยวและช่อ มีกลิ่นหอ
สีขาวครีม หรือเหลืองอ่อน ดอกรูปทรงกระบอกยาว 2 – 4 ซม.
ผลมีรูปร่างขนาดและสีแตกต่างตามพันธุ์ ยาว 5 – 30 ซม.
ภายในอาจมีหรือไม่มีเมล็ดก็ได้
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ราก ทั้งสดหรือแห้ง,
ผล, ยาง เมล็ด
สรรพคุณและวิธีใช้
1. ขับปัสสาวะ ใช้รากวันละ 1 กำมือ (สด 70 –
90 กรัม แห้ง 30 – 40 กรัม) หั่นเป็นชิ้น ๆ ต้มกับน้ำรับประทานวันละ 3 ครั้ง
ก่อนอาหาร ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)
2. ถ่ายพยาธิ ใช้เมล็ดมะละกอแก่ ๆ สด หรือแห้งใหม่ ๆ 1 – ¼ ช้อนกาแฟ
คั่วพอบดง่าย บดให้ละเอียด เติ้มน้ำผึง หรือน้ำเชื่อม ให้รับประทานง่าย
รับประทานติดต่อกัน 2 – 3 วัน ได้ผลดีในพยาธิเส้นด้าย
3. เป็นยาระบายยาถ่าย ใช้ผลสุกไม่จำกัด
รับประทานเป็นผลไม้ช่วยระบาย นอกจากเป็นยาระบายอ่อน ๆ แล้วยังให้วิตามินซีด้วย
|
4. ช่วยย่อย ใช้ผลมะละกอดิบ ไม่จำกัดประกอบอาหาร
ยางมะละกอสามารถย่อยอาหารพวกโปรตีน ยาแผนปัจจุบันที่ย่อยพวกโปรตีน
เป็นยาที่เตรียมจากยางมะละกอ
5. รักษาหูด ให้ยางขาวเหมือนน้ำนมจากก้านใบ หรือจากผลดิบ
5 – 6 หยด ทาบริเวณที่เป็นหูด วันละ 3 – 4 ครั้ง (ข้อควรระวัง
อย่าให้ยางถูกเนือดี)
6. ลดอาการแพ้ อักเสบ ปวดบวม
แมลงสัตว์กัดต่อย ใช้ยางสด 1 – 2
ช้อนชา ทาบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ ทาบ่อย ๆ จะช่วยลดอาการปวด
และในที่สุดจะหาย
มะละกอ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Carica papaya Linn. อยู่ในวงศ์ Caricaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น มะก๊วยเต๊ด ก๊วยเทด (ภาคเหนือ เชียงใหม่)
ลอกอ (ภาคใต้) แตงต้น (สตูล) หมักหุ่ง (นครพนม เลย มหาสารคาม)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น