สมุนไพรแก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ
แน่นจุกเสียด ปวดท้อง
|
||
1. กระทือ
|
||
เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นเป็นเหล้าอยู่ใต้ดินสีเหลืองซีด ๆ และมีส่วนชูขึ้นมาในอากาศสูงได้ถึง
1 เมตร ใบรูปค่อนข้างเรียวแหลม มีขนปกคลุมโดยทั่ว เนื้อใบค่อนข้างบาง ตัวใบกว้าง
5 – 8 ซม. ยาว 20 – 30 ซม. ปลายใบแหลม โคนใบเรียวแคบเข้าหาก้านใบซึ่งสั้นมาก 5 –
8 มม. ก้านช่อดอกยาว 10 – 30 ซม. ดอกออกเป็นช่อ รวมกันแน่นคล้ายตุ้มรูปไข่ กว้าง
4 – 5 ซม. ยาว 6 – 12 ซม. มีกลีบประดับรองรับแต่ละดอกและอัดซ้อนกันแน่น
กลีบนี้มีสีเขียวแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่ ดอกสีเหลืองยาวประมาณ 5
ซม. ผลรูปเรียว ผิวเรียบยาวประมาณ 1.5 ซม. เมล็ดสีดำ
ส่วนที่ใช้เป็นยา : หัวหรือเหง้า |
สรรพคุณและวิธีใช้
1.
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้เหง้าหรือหัวสดปิ้งไฟ
ฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้เอาน้ำดื่ม
2. แก้บิด (ปวดเบ่งและมีมูก หรืออาจมีเลือดด้วย)
ใช้เหง้าหรือหัวสดครั้งละ 2 หัว (ประมาณ 15 กรัม) ย่างไฟพอสุก ตำกับน้ำปูนใส
คั้นเอาน้ำดื่ม
กระทือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Zingiber zerumbet (L.) Smith อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น กระทือป่า
กะแวน แฮวดำ เฮียวดำ (ภาคเหนือ) เฮียวแดง (แม่ฮ่องสอน)
|
|
2. กะเพรา |
||
|
||
เป็นไม้ล้มลุกที่ทรงพุ่มใหญ่และสูงได้
30 – 60 ซม. มีขนปกคลุมทั่วไป ใบเดี่ยวออกตรงข้าม เนื้อในบางและนุ่ม ก้านใบยาว 1
– 3 ซม. ตัวใบรูปร่างรี หรือรีขอบขนาน กว้าง 1 – 2.5 ซม. ยาว 2 – 4.5 ซม.
ปลายใบและโคนใบอาจแหลมหรือมน ขอบใบค่อนข้างหยัก เส้นใบทั้ง 2 ด้านมีขนปกคลุม
ดอกออกรวมกันเป็นช่อ ยาว 8 – 14 ซม. โดยดอกติดรอบแกนช่อเป็นชั้น ๆ
มีทั้งชนิดที่สีของส่วนต่าง ๆ เช่น ลำต้น ใบ ดอกเป็นสีเขียว และชนิดที่ส่วนต่าง ๆ มีสีเขียวอมม่วงแดง
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ใบและยอด ทั้งสดหรือแห้ง สรรพคุณและวิธีใช้
1. แก้อาหารท้องอื่ด ท้องเฟ้อ
และปวดท้อง ใช้ใบและยอด 1 กำมือ
(น้ำหนักสดประมาณ 25 กรัม แห้งประมาณ 4 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม เหมาะสำหรับเด็ก
2. แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน (เกิดจากธาตุไม่ปกติ)
ใช้ใบและยอดสดประมาณ 10 กำมือ (ประมาณ 25 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม
|
3. เพิ่มน้ำนมในสตรีหลังคลอด ใช้ใบสด 1 กำมือ แกงเลียงรับประทานบ่อย ๆ
หลังคลอด
4. รักษากลากเกลื้อน ใช้ใบสด 15 – 20 ใบ
ตำหรือขยี้ให้น้ำออกมาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อน วันละ 2 – 3 ครั้ง จนกว่าจะหาย
5. รักษาหูด
ใช้ใบสด (ถ้าเป็นกะเพราแดงจะมีฤทธิ์แรงยิ่งขึ้น) ขยี้ทาตรงหัวหูดเช้า – เย็น
จนกว่าหัวหูจะหลุด
6.
ใช้ไล่หรือฆ่ายุง ใช้ได้ทั้งใบและกิ่งสดขนาด
1 กิ่งใหญ่ ๆ เอาใบมาขยี้ ๆ
แล้ววางไว้ใกล้ตัวจะช่วยไล่ยุงได้ และยังสามารถไล่แมลงอื่น ๆ ได้ด้วย
หรือเอาใบสดมากลั่นจะช่วยได้น้ำมันกะเพราซึ่งมีคุณสมบัติไล่ยุงได้ดีกว่าต้นสด ๆ
กะเพราะมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ocimum sanctum Linn. อยู่ในวงศ์ Labiatae มีชื่ออื่น ๆ เช่น กะเพราขาว
กะเพราแดง (ภาคกลาง) กอมก้อ (ภาคเหนือ) ทางภาคอิสานจะเรียก อีตู่ไทย
|
3. กานพลู |
||
เป็นไม้ยืนต้นขนาด 5 – 14 เมตร
ใบเดี่ยวติดกับลำต้นแบบตรงข้าม เนื้อใบหนาเป็นมัน
เมื่อส่องกับแสงแดดจะเห็นจุดน้ำมัน ตัวใบรี หรือรูปไข่เกือบขอบขนาน
ปลายใบและโคนใบแหลม ใบมีขนาดกว้าง 2 – 5 ซม. ยาว 6 – 13 ซม. ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง
ประกอบด้วย 3 – 20 ดอก เมื่อแก่ดอกจะยาว 1 – 2 ซม. สีแดงอมชมพู ผลรูปรี
หรือรูปไข่ สีแดงเข้มยาว 2 – 3 ซม. ภายในมีเมล็ด 1 – 2 เมล็ด
ส่วนที่ใช้เป็นยา : ดอก (ดอกกานพลูที่ดีจะต้องเป็นดอกที่มิได้สกัดเอาน้ำมันออก และมีกลิ่นฉุนรสเผ็ดจัด) สรรพคุณและวิธีใช้
1. แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
และปวดท้อง
ใช้ดอกแห้ง 5 – 8 ดอก (0.12 – 0.6 กรัม) ต้มหรือบดเป็นผงรับประทาน
(ดอกกานพลู 3 ดอก) ทุบแล้วแช่ในน้ำเดือด 1 ขวดเหล้า ใช้ชงนมเด็ก
จะช่วยป้องกันไม่ให้เด็กท้องขึ้นท้องเฟ้อ
|
2. แก้อาการปวดฟัน
กลั่นเอาน้ำมันใส่ฟันหรือใช้ทั้งดอกเคี้ยวอมไว้ตรงบริเวณฟันที่ปวด
เพื่อระงับอาการปวดฟัน
3. ระงับกลิ่นปาก ใช้ดอกตูม 2 – 3 ดอก อมไว้ในปาก
จะช่วยระงับกลิ่นปาก
กานพลู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Syzygium aromatucum (L.) Merr. Et
Perry (Syn. Eugenia caryophyllus (Sprengel) Bullock et Harrison) อยู่ในวงศ์ Myrtaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น จันจี่
(ภาคเหนือ)
|
|
4. ข่า |
||
|
||
มีลำต้นเป็นเหง้าที่มีข้อและปล้องเห็นได้ชัดเจนอยู่ใต้ดิน ส่วนที่อยู่บนดินอาจสูงได้ถึง 2 เมตร
ใบเดี่ยวออกสลับ มีกาบใบหุ้มลำต้น ใบรูปรีเกือบขอบขนาน กว้าง 5 – 11 ซม. ยาว 20 –
40 ซม. เนื้อใบสองข้างมักไม่เท่ากัน ปลายใบแหลม โคนใบคล้ายสามเหลี่ยม
ดอกออกที่ยอดเป็นช่อยาว มีก้านช่อยาว 10 – 30 ซม. แต่ละดอกมีขนาดเล็ก
ผลมีรูปร่างรี และใหญ่ประมาณ 1 ซม.
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เหง้าแก่สดหรือแห้ง สรรพคุณและวิธีใช้
1. แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
และปวดท้อง
ใช้ขนาดเท่ากับหัวแม่มือ (สดประมาณ 5 กรัม แห้งประมาณ 2 กรัม)
ทุบให้แตกต้มเอาน้ำดื่ม
2. ใช้รักษาโรคผิวหนัง
(ชนิดเกลื้อน)
ใช้เหง้าสดฝนกับเหล้าโรงหรือน้ำส้มสายชู หรือตำแล้วแช่แอลกอฮอล์
|
3. รักษาน้ำกัดเท้า ใช้เหง้าแก่สด 1 – 2 หัวแม่มือ
ทุบให้แตกละเอียด เติมเหล้าโรงใส่เหล้าพอท่วม แช่ไว้ 2 วัน
ใช้สำลีชุบทาน้ำยาตรงบริเวณน้ำกัดเท้า 3 – 4 ครั้ง
4. รักษาลมพิษ ใช้เหง้าแก่สด 1 แง่ง ทำ (ตำ)
ให้ละเอียดเติมเหล้าโรงพอให้เละ ๆ ใช้ทั้งเนื้อ
และน้ำทาบริเวณที่เป็นลมพิษทาบ่อย ๆ จนกว่าจะดีขึ้น
ข่ามีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Languas galangal (L.) stuntz (Syn. Alpinia galangal (L.)
Sw.) อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น ข่าตาแดง
ข่าหยวก
|
5. กระชาย
|
||
มีลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน
มีกลิ่นหอม มีรากสะสมอาหารเป็นรูปทรงกระบอกปลายแหลมจำนวนมาก
ส่วนที่อยู่บนดินสูงได้ถึง 50 ซม. มีกาบใบเป็นแผ่นบาง สีแดงเรื่อ
ตรงกลางเป็นร่องหุ้มซ้อนกัน กาบใบยาว 12 – 25 ซม. ตัวใบรูปร่างรี ปลายใบแหลม
โคนใบมนหรือแหลม ตัวใบกว้าง 5 – 10 ซม. ยาว 10 – 30 ซม. ดอกออกเป็นช่อตรงยอด
ดอกสีขาว หรือขาวอมชมพู
ส่วนที่ใช้เป็นยา : เหง้าและราก
(ทั้งสดและแห้ง)
สรรพคุณและวิธีใช้
1. แก้อาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ และปวดท้อง
ใช้เหง้าและรากประมาณ 1/3 – ½ กำมือ (สด 5 – 10
กรัม แห้ง 3 – 5 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม
2. แก้บิด
(ปวดเบ่งและมีมูกหรืออาจมีเลือดด้วย) ใช้เหง้าหรือหัวสดครั้งละ 2 หัว (ประมาณ 15
กรัม) ย่างไฟพอสุก ตำกับน้ำปูนใส คั้นเอาน้ำดื่ม
|
3. บำรุงหัวใจ ใช้เหง้าและรากแห้ง ขนาด 1
ช้อนชา วิธีใช้ เอาเหง้าและรากกระชายปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาด
หั่นตากแห้งบดเป็นผง ใช้ผงแห้ง 1 ช้อนชา ชงน้ำ ½ ถ้วย รับประทานให้หมดในคำเดียว
4.
แก้อาการเป็นลมเวียน
ใช้เหง้าจะออกฤทธิ์แรงกว่าราก ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นทาง ๆ ผึ่งให้แห้ง ใช้ 2 ช้อนชา ชงด้วยน้ำเดือดใหม่
ๆ ครึ่งถ้วยแก้ว เติมพิมเสน 3 – 4 เกล็ด ผึ่งทิ้งไว้ 5 – 7 นาที ดื่มแต่น้ำ
วันละ 4 ครั้ง
5.
รักษาแผลในปาก ใช้เหง้าสด 1 –
2 เหง้า ฝนกับน้ำสะอาดให้ข้น ๆ เติมพิมเสน 1 – 2 เกล็ด ใช้ทาบริเวณที่เป็นวันละ
4 – 5 ครั้ง จนกว่าจะหาย
กระชาย มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Boesenbergia
rotunda (L.) Mansf. (Syn. Kaempferia pandurata Roxb.) อยู่ในวงศ์ Zingiberaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น กระแอน
ระแอน (ภาคเหนือ) ขิงทราย (มหาสารคาม)
|
|
6.
กระเทียม
|
||
|
||
เป็นไม้ล้มลุกที่มีลำต้นใต้ดิน และมีส่วนที่เป็นกลีบย่อยจำนวนมาก
ซึ่งห่อหุ้มด้วยเปลือกบาง ๆ สีขาว หรือสีขาวอมชมพู ส่วนที่อยู่เหนือดินเป็นใบยาว
30 – 60 ซม. ค่อนข้างแบนกลวง ขนาด 5 – 20 มม. ปลายใบแหลม ดอกสีขาวอมเขียว
หรืออมชมพูม่วง ออกรวมกันเป็นกระจุกที่ปลายก้านช่อที่ออกมาจากหัวใต้ดิน ผลมีขนาดเล็กมาก
ส่วนที่ใช้เป็นยา : หัวหรือกลีบ
สรรพคุณและวิธีใช้
1.
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และปวดท้อง ใช้กลีบปอกเปลือก รับประทานดิบ ๆ ครั้งละ 5
กลีบ (2 กรัม)
2.
รักษาโรคผิวหนัง (ชนิดเกลื้อน) ฝานกลีบกระเทียมแล้วนำมาถูบ่อย ๆ
3. แก้ไอขับเสมหะ ใช้หัว 4 – 8 กลีบ โขลกให้ละเอียดเติมน้ำส้มสายชูประมาณ
2 – 3 ช้อนแกง คั้นเอาแต่น้ำจิบบ่อย ๆ
|
4.
แก้อาการเจ็บคอ
ใช้หัวกระเทียมโทน 2 หัว ปอกเปลือกตำให้แหลก แทรกเกลือป่น
ผสมน้ำมะนาวพอควร จิบบ่อย ๆ จิบติดต่อกัน 5 – 7 วัน อาการเจ็บคอจะหายไป
5.
ลดไขมันในเลือด
ใช้กลีบสด 5 – 7 กลีบ หรือเป็นผงสกัด 1 แคปซูล บรรจุ 500 มิลลิกรัม
รับประทานครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น หรือรับประทานครั้ง 5 – 7
กลีบ รวมกับอาหารเช้า – เย็น ติดต่อกัน 5 – 10 วัน (ข้อควรระวัง
อย่ารับประทานกระเทียมขณะท้องว่าง)
กระเทียม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Allium sativam Linn. อยู่ในวงศ์ Alliaceae มีชื่ออื่น ๆ เช่น หอมเทียม (ภาคเหนือ) หัวเทียม (ภาคใต้)
กระเทียมขาว หอมขาว (อุดรธานี)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น